วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หนังสือทำมือ : สื่อง่ายๆแสนกิ๊บเก๋ (๑)



หนังสือทำมือคืออะไร..
หนังสือทำมือ..หนังสือมือทำ  ..หนังสือทำด้วยมือ  คือชื่อที่มีความหมายเดียวกัน   
คือ..หนังสือที่ทำด้วยมือของผู้จัดทำล้วนๆ 
อาจเป็น หนังสือเล่มเดียวในโลก  หมายถึง ทำเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเท่านั้น  
เป็น..หนังสือทำด้วยมือหน้าเดียว 
เป็น..หนังสือทำด้วยมือหลายหน้า  
เป็น..หนังสือทำด้วยมือที่รวมเป็นรูปเล่ม
เป็น..หนังสือภาพสามมิติหน้าเดียว 
เป็น..หนังสือภาพสามมิติหลายหน้า 
                  ฯลฯ

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ “หนังสือทำมือ” ง่ายๆ
·        กระดาษธรรมดาๆ  ขนาดใดก็ได้  เล็ก กลาง ใหญ่ 
·        ชนิดของกระดาษ  ตั้งแต่ขาวๆ ธรรมดาๆ  กระดาษพิมพ์งานทั่วไป จนถึงกระดาษหลากสีหลากสไตล์  ที่ผู้จัดทำพิจารณาแล้วว่าสวย  เหมาะ 
·        ดินสอ  ปากกา  สี  กรรไกร  กาว  คัทเตอร์  ไม้บรรทัด ฯ 
·        อุปกรณ์ตกแต่งอื่นๆ (ขึ้นอยู่กับ Concept ของผู้จัดทำ) เช่น ดอกไม้ ใบหญ้าแห้ง เชือก ฯ

เนื้อหาของหนังสือทำมือ 
·        ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้จัดทำว่าต้องการทำหนังสือทำมือเรื่องอะไร ทำให้ใครอ่าน 
·        กำหนดวัตถุประสงค์เดียวในหนังสือเล่มนี้ อาทิ
J อวยพรแก่ผู้รับหนังสือเนื่องในโอกาสต่างๆ
J เขียนสั้นๆ ย่อๆ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (สารคดี)
J นำเสนอสำนวนไทย ๑ สำนวน 
J นำเสนอสุภาษิตไทย ๑ สุภาษิต
J นำเสนอปริศนาคำทาย ๑ ปริศนา
J นำเสนอนิทาน ๑ เรื่อง
J นำเสนอพยัญชนะไทย ๑ ตัว  (สระ, วรรณยุกต์)
J นำเสนอความรู้ ๑ เรื่อง
J นำเสนอเพลง ๑ เพลง
         ….ฯลฯ....

ข้อฝากสำหรับคุณครูที่สนใจจะทำหนังสือทำมือ 
·        ความยากง่ายของเนื้อหา ควรคำนึงถึงวัย และพัฒนาการของผู้อ่านเป็นหลัก
·        ความยาวของเนื้อหา เช่นเดียวกัน
·        ความน่าสนใจของหน้าหนังสือ  เช่น ภาพที่ตกแต่งประกอบเรื่อง  อาจเป็นภาพวาด ภาพที่ตัดจากหนังสือ แผ่นพับ แผ่นปลิว หรือวารสาร นิตยสารต่างๆ  ควรชัดเจน สวยงาม  สื่อความหมายได้ตรงกับเนื้อหา 
·        สัดส่วนของเนื้อหากับภาพประกอบ  ควรเหมาะสมกับวัย  วุฒิภาวะของผู้อ่าน อาทิ
J หากเป็นเด็กเล็กๆ ภาพควรใช้พื้นที่มากกว่าเนื้อหา เช่น ๗๐:๓๐ , ๖๐:๔๐
J หากเป็นเด็กอายุประมาณ ๘-๑๐ ปี สัดส่วนของภาพกับเนื้อหาก็  ๕๐ : ๕๐ 
J หากโตขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง อายุประมาณ ๑๑-๑๓ ปี สัดส่วนของภาพก็จะลดขนาดลง เนื้อหาก็เพิ่มมากขึ้น  เช่น ๔๐:๖๐ หรือ ๓๐:๗๐
J หากเป็นเด็กเริ่มสู่วัยรุ่น อายุตั้งแต่ ๑๔ ปีขึ้นไป ขนาดของภาพก็อาจลดลงเหลือ ๒๐:๘๐  หรือ บางเนื้อหาอาจไม่ต้องมีภาพก็ได้  เป็นต้น
·        รูปทรง หรือ รูปลักษณ์ของรูปเล่ม  ผู้จัดทำสามารถทำได้ตามชอบ อาจเป็นรูปหนังสือธรรมดา  หรือ มีรูปทรงแปลกๆ เพื่อให้ต้องตาต้องใจผู้อ่าน
·        ความประณีต เรียบร้อย งดงาม และ ความมั่นคงของรูปเล่ม เป็นสิ่งที่ผู้จัดทำต้องไม่ลืมด้วย

ใครคือผู้จัดทำหนังสือทำมือ
·        ผู้ที่สนใจอยากทำ(ใครก็ได้ค่ะ)
·        ครู
·        นักเรียน

ห้องสมุด 3D

ห้องสมุด 3D
      คณะรัฐมนตรีมีมติให้ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน เพื่อการพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน และรู้หนังสือ ภายในปี 2555
วัตถุประสงค์         
      ให้คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถอ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 95
      ให้ค่าเฉลี่ยการอ่านหนังสือของคนไทยเพิ่มขึ้นจากปีละ 5 เล่ม เป็น 10 เล่ม
       เพิ่มแหล่งการอ่านครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง
       สร้างภาคีเครือข่ายเพื่อปลูกฝังการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่าง ยั่งยืนทุกรูปแบบ

เป้าหมาย                
      ให้คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถอ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 95

องค์ประกอบ
  1. หนังสือดี
  2. บรรยากาศดี
  3. บรรณารักษ์ดี

กลุ่มของห้องสมุด 3 กลุ่ม
  1. กลุ่ม A คือ ห้องสมุดที่มีความพร้อมทั้ง 3 ด้าน
  2. กลุ่ม B คือ ห้องสมุดที่มีความพร้อมด้านใดด้านหนึ่ง
  3. กลุ่ม C คือ ห้องสมุดที่ไม่มีความพร้อมทั้ง 3 ด้าน

วิธีการ    
1.        สร้างแรงจูงใจให้เด็กไทยรักการอ่านและเขียนภาษาไทย
2.        การให้คะแนนในการเรียนการสอน
3.        หลักสูตรกำหนดให้มีชั่วโมงส่งเสริมการอ่านและการเขียนไทย
4.        คณะรัฐมนตรีมีมติให้ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน เพื่อการพัฒนาความสามารถ
               ด้านการอ่าน และรู้หนังสือ ภายในปี 2555โดยได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินการ ให้คน
               ไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถอ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 95
5.        ให้ค่าเฉลี่ยการอ่านหนังสือของคนไทยเพิ่มขึ้นจากปีละ 5 เล่ม เป็น 10 เล่ม
6.        เพิ่มแหล่งการอ่านครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง
7.        สร้างภาคีเครือข่ายเพื่อปลูกฝังการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่าง ยั่งยืนทุกรูปแบบ

รักการอ่าน

      ในชีวิตประจำวัน มนุษย์ต้องรับรู้ข่าวสารเรื่องราวต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา การอ่านเป็นวิธีการแสวงหาความรู้ที่ทำได้ง่ายที่สุด และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุดเช่นกัน การสร้างนิสัยรักการอ่านจึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ ผู้อ่านจึงควรหมั่นฝึกฝน และสร้างนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับตนเอง การจะสร้างนิสัยรักการอ่านไดนั้นผู้อ่านต้องวิเคราะห์ตนเองว่ามีอุปสรรคในการอ่านอย่างไรบ้าง เพื่อหาแนวทางแก้ไขให้มีนิสัยรักการอ่านขึ้นในตนเองต่อไป ทั้งนี้วิธีสร้างนิสัยรักการอ่าน สามารถทำได้ดังนี้
     ๑) สร้างแรงจูงใจ การสร้างแรงจูงใจเพื่อนำไปสู่นิสัยรักการอ่าน อาจทำได้หลายวิธี ดังนี้
                ๑.๑)ให้สัญญา รางวัล หรือลงโทษตนเอง โดยให้สัญญาทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น กำหนดว่า
                                                    ”ถ้าอ่านเล่มนี้จบ จะไปเที่ยว”
                                                    ”ถ้าอ่านเรื่องนี้จบ จะไปดูโทรทัศน์สักเรื่อง”
                                                    ”ถ้าอ่านบทนี้ไม่จบ จะไม่ยอมลุกไปกินข้าว”
                ข้อควรระวังในการสัญญากับตนเอง คือ อย่าให้สัญญาในสิ่งที่ยากเกินไป ถ้าทำไม่ได้จะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ท้อแท้ไม่อยากทำต่อไป
                ๑.๒)ตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านและโทษจากการไม่อ่านอยู่เสมอ เช่น
                                                    ”ไม่อ่านฉลากยาจะทำให้ใช้ยาผิด เป็นอันตรายต่อชีวิต”
                                                    ”ไม่อ่านหนังสือเรียนทำให้สอบได้คะแนนน้อย”
                                                    ”ไม่อ่านป้ายจราจรทำให้ถูกปรับ”

                ๑.๓)ชักชวนคนอื่นให้อ่านเรื่องเดียวกัน แล้วนำมาสนทนากัน วิธีนี้ทำให้เิกิดความรู้สึกว่ามีแนวร่วม จะเกิดการอ่านวิเคราะห์หลายดาน เป็นการเพิ่มประสบการณ์ และร่วมมือกันคิด
                ๑.๔)จัดแข่งขันการอ่านจากผู้อื่น เช่น แข่งขันกับเพื่อน ๆ กับคนในครอบครัว อาจจะเริ่มจากการอ่านเป็นหน้า เป็นบท เป็นเรื่อง และเป็นเล่ม ตามลำัดับ
        ๒) สร้างโอกาสและหาเวลาอ่าน การสร้างโอกาสและหาเวลาอ่าน สามารถทำได้โดยไปยังแหล่งวัสดุการอ่าน เช่นห้องสมุด ร้านขายหนังสือ หรือศูนย์หนังสือต่าง ๆ และเข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับการอ่าน เช่น เข้าร่วมกิจกรรมการอ่านในโรงเรียน หรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่จัดขึ้น
        ๓) เริ่มต้นการอ่านจากเรื่องที่ตนเองชอบหรือสนใจ การเริ่มต้นจากการอ่านเรื่องที่ตนชอบ สนใจ หรือเป็นประโยชน์ต่อตนเองก่อน ในขณะที่อ่านควรเปรียบเทียบประโยชน์ของเรื่องที่อ่านตามใจตนเอง กับการอ่านเรื่องที่มีคุณค่าอื่น ๆ เืพื่อเป็นแนวทางในการเลือกอ่านต่อไปให้มีความรู้หลากหลาย ไม่อยู่ในวงจำกัดเฉพาะเรื่องที่ตนเองสนใจเท่านั้น
        ๔) สมาคมกับนักอ่านหรือผู้ที่ชอบอ่านหนังสือ เพื่อที่จะได้รับการชักนำหรือคำแนะนำที่ถูกวิธี และจะได้เห็นตัวอย่างการอ่านจากผู้อื่น จนเกิดความเคยชิน และติดเป็นนิสัยรักการอ่านในที่สุด
        ๕)ตั้งความหวังให้กับตนเอง โดยวางเป้าหมายว่าจะพัฒนาการอ่านให้เกิดผลอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวังผลตามที่ตั้งเอาไว้
        ๖)ฝึกพิจารณา ฝึกทำความเข้าใจเรื่องราวที่อ่านทุกครั้ง แล้วบันทึกผลการอ่าน นับตั้งแต่ที่มาของหนังสือ สาระสำคัญของเรื่อง ความคิดเห็นของผู้อ่าน ถ้อยคำที่คมคาย ฯลฯ เพ่อจะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปตามโอกาสอันควร
        ๗)ฝึกฝนและพัฒนาความสามารถในการอ่านขึ้นเรื่อย ๆ โดยอาจจะปฏิบัติตามคำแนะนำของตำรา หรือบุคคลผู้ีความสามารถในการอ่านก็ได้ พยายามปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ และเกิดความก้าวหน้าเป็นระยะไป เช่น อ่านได้เร็วขึ้นใช้เวลาในการอ่านได้มากขึ้น จับสาระเรื่องราวที่อ่านได้ดีขึ้น เป็นต้น
            อย่างไรก็ตาม การสร้างนิสัยรักการอ่านอาจมีอุปสรรคอยูู่บ้าง ซึ่งจำเป็นจะต้องขจัดปัญหาให้หมดสิ้นก่อนฝึกนิสัยรักการอ่าน อุปสรรคเหล่านี้ ได้แก่
                ๑)ไม่ชอบอ่าน ชอบทำกิจกรรมอื่นมากกว่า หรือเกียจคร้านที่จะอ่าน
                ๒)มีปัญหาทางสุขภาพการและสุขภาพใจ เช่น สายตาไม่ดี เครียด กังวล
                ๓)สภาพแวดล้อมไม่ดี เช่น สถานที่ไม่เหมาะสม อุณหภูมิไม่พอดี แสงสว่างไม่พอ
                ๔)ขาดทักษะทางภาษา อ่านแล้วไม่เข้าใจ
                ๕)พื้นความรู้เดิมมีจำกัด เนื่องจากการศึกษาน้อย
                ๖)ไม่มีเวลาอ่าน
                ๗)อ่านช้า ไม่ชำนาญในการอ่าน
                ๘)ไม่เห็นประโยชน์ของหนังสือ